ชมได้ทั่วประเทศข้ามปี การแสดงโขนรามเกียรติ์ ชุด ลักษมีสีดา เปิดการแสดง 14 ครั้งใน 4 ภูมิภาค ชำระบท-แบบแผนท่ารำโดยครูบาอาจารย์นาฏศิลป์ระดับชาติ กรุงเทพฯ ชมฟรี 23 ธ. ค.
2565 ได้รับการชำระโดยครูบาอาจารย์นาฏศิลป์ระดับประเทศอีกหลายท่าน อาทิ รศ. ดร. ศุภชัย จันทร์สุวรรณ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นาฏศิลป์) พ. 2548 ผู้กำกับการแสดง, อ.
ศาลาเฉลิมกรุง: เวลาทำการ: จันทร์ – อาทิตย์ (ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ) การแสดงโขนศาลาเฉลิมกรุง... รอบนักท่องเที่ยว ขอเชิญนักท่องเที่ยวเข้าชมการแสดงโขนศาลาเฉลิมกรุง ชุดหนุมาน ณ โรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุง โดยท่องเที่ยวพระบรมมหาราชวัง สามารถซื้อบัตรได้ที่จุดจำหน่ายบัตรพระบรมมหาราชวัง ในราคาพิเศษ 500 บาท นักท่องเที่ยวจะได้รับบัตรเข้าชมพระบรมมหาราชวัง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พิพิธภัณฑ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และบัตรเข้าชมการแสดงโขน ณ โรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุง ซึ่งตัดการแสดงในระหว่างวันจันทร์ - วันศุกร์ จัดแสดงวันละจำนวน 5 รอบ ได้แก่เวลา 10. 30 น. / 13. 00 น. /14. / 16. และ 17. ความยาวการแสดงรอบละ 25 นาที โดยบัตรเข้าชมการแสดงโขนศาลาเฉลิมกรุงมีอายุใช้ได้ 7 วัน นับตั้งแต่วันที่ซื้อบัตร พร้อมนี้ศาลาเฉลิมกรุงได้จัดรถบริการรับนักท่องเที่ยว ณ บริเวณด้านหน้าประตูวิมานเทเวศร์ ซึ่งเป็นประตูทางออกของนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมพระบรมมหาราชวังด้วย สำหรับผู้ชมที่สนใจเข้าชมการแสดงโขน สามารถซื้อบัตรได้ที่จุดจำหน่ายบัตรศาลาเฉลิมกรุงได้ในราคาปกติ 400 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 0-2224-4499 () ซื้อบัตรเข้าชมงาน ศาลาเฉลิมกรุง โขน~ศาลาเฉลิมกรุง ชุดหนุมาน ช่องทางการติดต่อ ที่อยู่: 66 ศาลาเฉลิมกรุง ถ.
คนตรีที่ใช้บรรเลง วงดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงโขน ได้แก่ วงปี่พาทย์ (บางทีก็เรียก " พิณพาทย์ ") ซึงประกอบไปด้วย ปี่ ระนาด ฆ้อง กลอง ตะโพน บางสมัยก็จัดเป็นวงเครื่องห้าตามแต่ฐานะของผู้เป็นเจ้าของงาน 1. โขนกลางแปลง เป็นการแสดงบนพื้นดินกลางสนาม ไม่มีฉาก มีบทพากย์ และเจรจาสำหรับบรรยายเรื่อง วงปี่พาทย์ที่บรรเลงประกอบการแสดงในสมัยกรุงศรีอยุธยามีเพียงวงปี่พาทย์เครื่องห้า มีเครื่องบรรเลงคือ ปี่กลาง ฆ้องวงใหญ่ ตะโพน กลองทัด (แต่เดิมใช้เพียง 1 ลูก ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 1 จึงเพิ่มเป็น 2 ลูก) และฉิ่ง โดยจะมี 2 วงเป็นอย่างน้อย ตั้งใกล้ฝ่ายมนุษย์วงหนึ่ง และใกล้ฝ่ายยักษ์อีกวงหนึ่ง เพื่อที่เวลาบรรเลงจะได้ยินทั่วกันทั่ง 2 ฝ่าย เพลงที่ใช้บรรเลงนั้นมีแต่เพลงหน้าพาทย์ (หมายเหตุ: เพลงประกอบกิริยาอาการ)เท่านั้น 2. โขนนั่งราว เป็นการแสดงบนโรงที่ปลูกสร้างขึ้น วิธีการแสดงและวงปี่พาทย์จะเหมือนกันกับโขนกลางแปลง แต่วงปี่พาทย์จะตั้งบนร้านที่ยกสูงขึ้น โดยวงหนึ่งจะตั้งหัวโรง อีกวงหนึ่งตั้งไว้ท้ายโรงหรือจะตั้งทางซ้าย และขวาของโรง แต่เดิมใช้ปี่พาทย์เครื่องห้า เพิ่งมาเพิ่มระนาดทุ้มกับฆ้องวงเล็กเป็นวงเครื่องคู่ในสมัยหลังนี้เอง ปี่พาทย์ทั้งสองวงนี้จะบรรเลงเป็นระเบียบมากขึ้นกว่าโขนกลางแปลง ส่วนเพลงที่ใช้บรรเลงนั้นมีแต่เพลงหน้าพาทย์เช่นเดียวกับโขนกลางแปลง 3.
ประเภทของการแสดงโขน 1. โขนกลางแปลง โขนในยุคแรกคงแสดงกันกลางสนามเช่นเดียวกับการแสดง " ชักนาคดึกดำบรรพ์ " ต่อมาจึงเรียกกันว่า " โขนกลางแปลง " โดยเป็นการแสดงโขนบนพื้นดินกลางสนาม นิยมแสดงตอน " ยกรบ " คือตอนยกทัพมารบกันระหว่างกองทัพของพระรามกับกองทัพของทศกัณฐ์ การแสดงจะมีแต่บรรเลงเพลงหน้าพาทย์ประกอบการยกทัพ บทพากย์ และเจรจา แต่ไม่มีบทร้อง 2.
18 ม. ค. 2012 วงดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงโขน ได้แก่ วงปี่พาทย์ (บางทีก็เรียก "พิณพาทย์") ซึงประกอบไปด้วย ปี่ ระนาด ฆ้อง กลอง ตะโพน บางสมัยก็จัดเป็นวงเครื่องห้าตามแต่ฐานะของผู้เป็นเจ้าของงาน 1. โขนกลางแปลง เป็นการแสดงบนพื้นดินกลางสนาม ไม่มีฉาก มีบทพากย์ และเจรจาสำหรับบรรยายเรื่อง วงปี่พาทย์ที่บรรเลงประกอบการแสดงในสมัยกรุงศรีอยุธยามีเพียงวงปี่พาทย์เครื่องห้า มีเครื่องบรรเลงคือ ปี่กลาง ฆ้องวงใหญ่ ตะโพน กลองทัด (แต่เดิมใช้เพียง 1 ลูก ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 1 จึงเพิ่มเป็น 2 ลูก) และฉิ่ง โดยจะมี 2 วงเป็นอย่างน้อย ตั้งใกล้ฝ่ายมนุษย์วงหนึ่ง และใกล้ฝ่ายยักษ์อีกวงหนึ่ง เพื่อที่เวลาบรรเลงจะได้ยินทั่วกันทั่ง 2 ฝ่าย เพลงที่ใช้บรรเลงนั้นมีแต่เพลงหน้าพาทย์ (หมายเหตุ: เพลงประกอบกิริยาอาการ)เท่านั้น 2. โขนนั่งราว เป็นการแสดงบนโรงที่ปลูกสร้างขึ้น วิธีการแสดงและวงปี่พาทย์จะเหมือนกันกับโขนกลางแปลง แต่วงปี่พาทย์จะตั้งบนร้านที่ยกสูงขึ้น โดยวงหนึ่งจะตั้งหัวโรง อีกวงหนึ่งตั้งไว้ท้ายโรงหรือจะตั้งทางซ้าย และขวาของโรง แต่เดิมใช้ปี่พาทย์เครื่องห้า เพิ่งมาเพิ่มระนาดทุ้มกับฆ้องวงเล็กเป็นวงเครื่องคู่ในสมัยหลังนี้เอง ปี่พาทย์ทั้งสองวงนี้จะบรรเลงเป็นระเบียบมากขึ้นกว่าโขนกลางแปลง ส่วนเพลงที่ใช้บรรเลงนั้นมีแต่เพลงหน้าพาทย์เช่นเดียวกับโขนกลางแปลง 3.
ตัวยักษ์ ตัวยักษ์จะต้องมีลักษณะสูง วงเหลี่ยมตลอดจนการทรงตัวต้องดูแข็งแรง บึกบึน ลีลาท่าทางมีสง่า ซึ่งต้องได้รับการฝึกหัดมาอย่างดีเพราะถือกันว่าหัดยากกว่าตัวอื่นๆ ผู้ที่จะหัดแสดงเป็นตัวยักษ์ คัดเลือกผู้ที่มีลักษณะคล้ายตัวพระ แต่ไม่ต้องเลือกหน้าตา รูปร่างต้องใหญ่ และท่าทางแข็งแรง 4. ตัวลิง ตัวลิงจะต้องมีท่าทางลุกลี้ลุกลน กระโดดโลดเต้นตามลักษณะธรรมชาติของลิง โดยเฉพาะตัวหนุมานทหารเอกซึ่งจะต้องได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี ผู้ที่จะหัดแสดงเป็นตัวลิง คัดเลือกผู้ที่มีลักษณะป้อมๆ ท่าทางหลุกหลิกคล่องแคล่วว่องไว ที่มา
ประเมษฐ์ บุณยะชัย ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นาฏศิลป์) พ. ศ. 2563 บรรจุเพลงโดย อ. ทัศนีย์ ขุนทอง ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปการแสดง (ดนตรีไทย-คีตศิลป์) พ. 2555 "บทโขนครั้งนี้ ผู้ชมจะรู้จักนางสีดาตั้งแต่เกิดจนสุดท้าย แต่เป็นการเล่นที่กระชับ ไม่เกิน 2 ชั่วโมง การทำบทให้สั้นนั้นจึงยากมาก ผมอาศัยความรู้จากครูบาอาจารย์ โดยศึกษาบทพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์ในรัชกาลที่ 1 เป็นหลัก กับบทโขนของครูกรมศิลปากรที่ทำไว้ แต่ใช้หมดไม่ได้ จึงใช้วิธีดัดแปลงและตัดต่อแต่ละฉากสำคัญออกมาเป็น 4 ฉาก และใช้การบรรยายคั่นแต่ละตอนเข้าช่วย โดยเฉพาะฉากสุดท้ายในจินตนาการของผม ต้องการแสดงให้เห็นความสัตย์ซื่อและความรักอันมั่นคงของนางสีดา มีเทพเทวดามาอวยพร สื่อถึงราชวงศ์จักรีด้วย" อ. ประเมษฐ์ กล่าวในงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมทั่วทิศแผ่นดินไทย พ. 2565 ณ บริเวณหน้าพระอุโบสถบวรสถานสุทธาวาส (วัดพระแก้ววังหน้า) เมื่อวันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2564 ครูบาอาจารย์นาฏศิลป์และศิลปินแห่งชาติชำระท่ารำ ศิลปินแห่งชาติและครูนาฏศิลป์ระดับประเทศผู้ร่วมชำระการแสดงโขน ชุด ลักษมีสีดา บทโขน การบรรจุเพลง การร้อง ท่ารำ ของการแสดงโขนชุด ลักษมีสีดา ในโครงการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมทั่วทิศแผ่นดินไทย พ.
โขนโรงใน โขนโรงใน เป็นโขนที่ได้รับการปรับปรุงผสมผสานกับละครใน โดยการนำท่ารำ ท่าเต้น และบทพากย์เจรจาตามแบบโขนมาผสมกับการขับร้อง เพลงต่างๆ และระบำรำฟ้อนของละครใน ภายหลังจึงเรียกว่า " โขนโรงใน " โขนที่กรมศิลปากรนำออกแสดงในโรงละครแห่งชาติปัจจุบันนี้มักเป็นลักษณะโขนโรงใน หรือที่นำออกแสดงกลางแจ้งก็เป็นการแสดงแบบโขนโรงในทั้งสิ้น 5. โขนฉาก การแสดงโขนแต่เดิมนั้น จะไม่มีการสร้างฉากประกอบเรื่อง การแสดงจะดำเนินเรื่องติดต่อกันไปโดยผู้ดูจะต้องจินตนาการถึงฉากหรือสถานที่ในเรื่องราวขณะนั้นเอาเอง การจัดฉากในการแสดงเป็นสิ่งที่รับมาจากตะวันตก โขนฉากเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 นี้เอง โดยคิดสร้างฉากประกอบการแสดงโขนบนเวทีขึ้น คล้ายกับการแสดงละครดึกดำบรรพ์ที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงคิดขึ้น การแสดงโขนฉากเป็นแบบเดียวกับโขนโรงใน แต่มีการจัดฉากแบบละครดึกดำบรรพ์ โดยแบ่งเป็นฉากเป็นองก์ การสร้างฉากก็ให้เข้ากับเหตุการณ์ และสถานที่ตามท้องเรื่อง เช่นการแสดงโขนของกรมศิลปากรในปัจจุบัน ที่มา:
๐๐น. 4.